ถิ่นกำเนิดบุก บุกเป็นพืชหัว เริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อประมาณ 100 กว่าปีมาแล้วโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี Odoardo Beccari ได้ค้นพบพืชในสกุลบุกชนิดหนึ่ง คือ Amophophallus titanium (Becc.) Ex Arcang. ในป่าของประเทศอินโดนีเซียด้วยขนาดดอกที่ใหญ่มหึมาและลักษณะรูปพรรณสัณฐาน สีสันสวยงาม แปลตาได้ปลุกเร้าความสนใจของนักพฤกษศาสตร์ และคนทั่วไปให้หันมาศึกษาและให้ความสำคัญกับพืชนี้มากขึ้น และได้ขนานนามดอกไม้ขนาดยักษ์นี้ว่า “ดอกไม้มหัศจรรย์” สายพันธุ์บุกในโลกมีไม่ต่ำกว่า 90 ชนิด มีถิ่นกำเนิดในประเทศเอเชีย พบมากที่สุดในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียที่พบเจอมากกว่า 80 ชนิด จากการสำรวจพบเจอว่ามีพืชสกุลบุกอยู่ประมาณ 170 ชนิดทั่วโลก และพบในประเทศไทย 46 ชนิด (เต็ม, 2544 และ Hetterscheid & Ittenbach, 1996) เจริญเติบโตและแพร่กระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศโดยเฉพาะบริเวณป่าโปร่งที่เป็นแหล่งอาศัยของพืชพื้นเมือง
- ภาคเหนือ พบที่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พิจิตร อุดรดิตถ์ กำแพงเพชร พิษณุโลก และสุโขทัย
- ภาคกลาง พบที่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ธนบุรี ปทุมธานี และปราจีนบุรี
- ภาคใต้ พบที่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง ปัตตานี พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี กระบี่ ยะลา และนราธิวาส
- ภาคตะวันออก พบในหลายจังหวัดทางฝั่งทะเลตะวันออก
- ภาคตะวันตก พบเห็นที่ สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และ เพชรบุรี
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบมากที่นครราชสีมา และ บุรีรัมย์
ลักษณะทั่วไปบุก
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม่ล้มลุกเนื้ออ่อน ลำต้นอวบ สีเขียวเข้ม ตามต้นมีรอยด่างเป็นดวงๆ เขียวสลับขาว ใบเป็นชนิดใบเดี่ยว แตกใบที่ยอด กลุ่มใบแผ่เป็นแผงคล้ายร่มกางก้านใบต่อเนื่องกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5 – 7 ใน รูปใบยาวปลายใบแหลม ขนาดใบยาว 12 – 15 ซม. ลำต้นสูง 1 – 2 เมตร ดอกบุกเป็นสีเหลือง บานในตอนเย็นมีกลิ่นเหม็น เหมือนหน้าวัว ประกอบด้วยปลี และจานรองดอก จานรองดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 – 15 ซม. เกสรตัวผู้และตัวเมียรวมอยู่ในดอกเดียวกัน แต่แยกกันอยู่คนละชั้น เมื่อบานจานรองดอกจะโรย เหลืออยู่แต่ปลีดอก ซึ่งจะกลายเป็นผล ก่อนออกดอกต้นจะตายเหลือแต่หัว ซึ่งเป็นก้อนกลมสีขาว ขนาด 6 – 10 ซม.เจริญเติบโตอยู่ใต้ดิน
การขยายพันธุ์
โดยปกติบุกแพร่พันธุ์ได้ตามธรรมชาติด้วยการแตกหน่อหรือเมล็ด เมื่อเมล็ดบุกแก่จัดจะร่วงกระจัดกระจายลงสู่พื้นดิน จากการเฝ้าสังเกตของนักพฤกษศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องการกระจายพันธุ์ของบุกรายงานว่าในประเทศอินเดียและประเทศอื่นบางประเทศพบนกเงือกและนกกาเขนกินผลบุก เนื่องจากผลของบุกส่วนใหญ่มีสีสดใสจึงดึงดูดให้นกมากินซึ่งเป็นการช่วยกระจายพันธุ์บุกตามธรรมชาติอีกวิธีหนึ่ง สำหรับในประเทศไทยยังไม่เคยมีรายงานในเรื่องนี้ แต่จากการสังเกตในแปลงรวบรวมตัวอย่างบึกพบว่ามีนกปรอดหัวโขนมากินผลซึ่งกำลังสุกแดง ซึ่งนอกจากนกแล้วมนุษย์ยังเป็นตัวการสำคัญในการกระจายพันธุ์ของบุก โดยการนำส่วนขยายพันธุ์ของบุก คือ เมล็ด หัว และส่วนขยายพันธุ์อื่นไปปลูกตามบ้านเรือนและไร่นา จึงทกให้มีบุกเจริญเติบโตอยู่ทั่วไป
บุกสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีดังนี้
- โดยวิธีการเพาะเมล็ด บุกสามารถขยายพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติ โดยเมล็ดที่ร่วงหล่นลงดินสามารถงอกเป็นต้นใหม่ได้ จากการลองในห้องปฏิบัติการและภาคสนาม พบเห็นว่าเมล็ดบุกส่วนใหญ่มีความงอกมากว่า 90% และบุกบางชนิดมีระยะพักตัวเป็นเวลานานถึง 4 เดือน
- โดยวิธีการแตกหนอจากหัวเดิม บุกบางชนิดมีหน่อขนาดเล็กเป็นจำนวนมากอยู่บนหัวเดิม ซึ่งหน่อเหล่านี้ สามารถแยกไปปลูกเป็นต้นใหม่ได้หรือใช้วิธีตัดแบ่งหัวเกา แล้วนำไปปลูกขยายพันธุ์แต่มักมีปัญหาเรื่องหัวเน่า
- โดยใช้เหง้า (Rhizome) บุกบางชนิดเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีเหง้าแตกออกมาจากหัวเติมโดยรอบมีความยาว 10 – 30 เซนติเมตร นำเหง้ามาตัดแบ่งเป็นท่อนสั้นๆ แล้วนำไปปลูกขยายพันธุ์ได้อีกวิธีหนึ่ง
เครดิตบทความจาก :
http://www.disthai.com/16488234/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81